Fender Highway 1 Stratocaster

ต้องบอกว่า Highway 1 Strat เป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของตระกูล Fender เลยจริงๆ เพราะเพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อกลางปี 2002 ที่ผ่านมานี่เอง น้องใหม่ตัวนี้มีสายเลือดอเมกันแท้ๆถูกจัดไว้ให้อยู่ในซีรี่ส์ American Special Series ดังนั้นสเป็คทั่วๆไปก็ยังคงเป็นตามแบบซีรี่ส์นี้แต่ก็มีความแตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาดูกัน

ความเป็นมา

ชื่อเท่ๆว่า "Highway 1" นี้มีความเป็นมา ความจริงมันเป็นชื่อถนนหลวงหมายเลข 1 ของอเมริกาที่ Fender ขอยืมมาใช้ เป็นถนนเรียบชายฝั่งเวสต์โคสต์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย บางคนก็เรียกว่าแปซิฟิกโคสต์ไฮเวย์ทิวทัศน์ ตลอดเส้นทางสายนี้สวยงาม   จนอดหลงใหลไม่ได้ สามารถมองเห็นชายหาดและท้องทะเลอันเพลินตา เป็นดินแดน ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและช่วยกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ได้ดีทีเดียว

สองข้างทางก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวให้แวะเวียนเป็นระยะๆ มีทั้งที่พักและผับบาร์เล็กๆ เป็นถนนที่มีชีวิตชีวา แต่ไม่คราคร่ำจนสูญเสียความเป็นธรรมชาติไป ความจริงแคลิฟอร์เนียนี้จัดเป็นรัฐที่มีกิจกรรมคึกคักเต็มไปด้วยสีสัน ธุรกิจบันเทิงหลายอย่างเกิดขึ้นที่นี่โดยเฉพาะในเมืองแห่งดนตรีร็อคและสังคมฮอลลีวูดอย่าง L.A. บริษัทเทปหลายค่ายหรือสตูดิโออัดเสียงดัง ๆ ก็อยู่ที่นี่   ดังนั้นทาง Fender จึงต้องการใช้ชื่อ Highway 1 เพื่อสื่อถึงการใช้ชีวิตที่เต็มที่ ถ้าเป็นกีตาร์ก็ต้องเป็นกีตาร์ที่คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เป็นคู่หูที่พร้อมจะลุยไป กับคุณในทุกสถานการณ์อย่างไม่หวาดหวั่น เรียกว่าเอาไว้ใช้เป็นม้างานจริงๆไม่ใช่แค่เป็นลูกม้าที่เลี้ยงไว้ขี่เล่นๆ

 


ลักษณะของHighway 1

Highway 1 เป็นกีตาร์เมดอิน อเมริกา ผลิตจากโรงงาน Fender ที่เมืองโคโรนา แคลิฟอร์เนีย เป็นกีตาร์ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งน้ำเสียงความเป็น Fender ได้อย่างไม่มีที่ติ  

บอดี้ทำด้วยไม้อัลเดอร์ คอเป็นไม้เมเปิล ลักษณะคอเป็นรูปตัว "C" ซึ่งเป็นคอสมัยใหม่มีการเคลือบโพลียูรีเทน บางๆ ฟิงเกอร์บอร์ดมีทั้งไม้โรสวูด (สีน้ำตาลเข้ม)   และคอขาวไม้เมเปิล   ขนาดเรเดียส 241 มม.  (9.5 นิ้ว) ตามสไตล์ Fender ที่นิยมในปัจจุบัน

จุดเด่น

จุดเด่นในรุ่นนี้ที่สังเกตเห็นได้ชัดคือลักษณะการเคลือบเงาที่บอดี้ เราจะรู้สึกว่าสีจะออกด้านๆไม่เป็นเงาประกาย และไม่ค่อยสะท้อนแสง ไม่ต้องตกใจว่าเขาทำมาไม่ดีหรืออะไร ความจริงนี่คือสิ่งที่ Highway 1 ต้องการนำเสนอ และเป็นจุดที่ทำให้รุ่นนี้แตกต่างจากพี่น้องรุ่นอื่นๆ การเคลือบเงาแบบนี้เราเรียกว่า "ซาติน ฟินิช" (Satin Finish) เป็นการลงสีเคลือบเงาด้วยโพลียูรีเทนเพียงบางๆ(ประมาณ 2-3 ชั้น) แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีผล ต่อซาวน์ดของกีตาร์ด้วย การเคลือบชนิดนี้ทำให้กีตาร์ได้น้ำเสียงและซัสเทนที่มีคุณภาพสูง

การที่เคลือบด้วยโพลียูรีเทนแต่เพียงบางๆนั้นทำให้ไม่เป็นการขัดขวางการเดินทางของเสียงเหมือนกับการใช้ โพลีเอสเตอร์ เคลือบหลาย ๆ ชั้น มันอาจจะดูไม่แวววับเหมือนกับกีตาร์พวก "ไฮ-กลอส" (high-gloss) ที่เงางาม สะท้อนแสงระยับ  กล่าวคือ แทนที่เราจะปล่อยให้ความหนาของน้ำยาเคลือบมาขโมยความชัดเจนของน้ำเสียงไป เราก็หันมาใช้วิธีซาตินฟินิชแทน จึงทำให้ Highway 1 สามารถถ่ายทอดน้ำเสียงและซัสเทนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด แถมเรายังสามารถมองเห็นความงดงามของลายไม้ อัลเดอร์ได้อีกด้วย และด้วยความด้านของสีนี่เองทำให้ตัวกีตาร์จะไม่ค่อยสะท้อนกับแสงไฟ

และเนื่องจากการเคลือบแบบซาตินนี้เป็นการเคลือบแบบบางๆ อาจเป็นเหตุให้กีตาร์เกิดเป็นริ้วรอยได้ง่าย จึงอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับ ผู้เล่นประเภทที่ทำใจไม่ค่อยได้เวลาเห็นกีตาร์เกิดรอยขีดข่วน แต่ก็อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่า Highway 1 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนที่ ต้องการกีตาร์ที่ลุยไหนลุยนั่นไปกับคุณได้ทุกที่ และยังเหมาะกับคนที่ชอบกีตาร์ที่ดูเป็นวินเทจ เพราะนี่เป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้ กีตาร์ของคุณดูเก่าเร็ว ราวกับว่ามันผ่านการกรำศึกกับคุณมานาน

 
 


คุณภาพสมราคา


คุณจะเชื่อหรือไม่ว่าราคาของซีรี่ส์ Highway 1 นี้อยู่แค่ 2 หมื่นบาทปลาย ๆ เท่านั้นเอง สาเหตุที่ทำให้กีตาร์ เมดอินอเมริกาแท้ ๆ   ตัวนี้มีราคาสวนทางกับสรรพคุณของมันก็เนื่องมากจากทาง Fender ต้องการให้นักกีตาร์ ได้ใช้กีตาร์อเมริกาที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในราคาที่สมเหตุผล หลายคนอาจหงุดหงิดอยู่ในใจว่าเป็นของ คุณภาพต่ำหรือเปล่าราคาจึงถูก? Fender สามารถตอบได้อย่างหนักแน่นว่าสาเหตุที่ทำให้กีตาร์อยู่ในราคาระดับนี้ได้ ก็เพราะวิธีการเคลือบแบบซาตินนี้เอง

เนื่องจากในกระบวนการผลิตกีตาร์ทั้งหมด ขั้นตอนที่กินต้นทุนสูงสุดก็คือช่วงที่ใช้แรงงานมนุษย์นี่เอง และการลงสี เคลือบเงาเป็นขั้นตอนที่กินเวลามากที่สุดในกระบวนการทั้งหมด โดยปรกติเราจะต้องนำกีตาร์มาเคลือบเงาหลายชั้น แต่ละชั้นต้องใช้เวลาในการทำสีเคลือบน้ำยาชักเงาและทิ้งไว้ให้แห้งสนิทอย่างน้อยก็ต้อง 7 วัน ถ้าเราเคลือบ 7 ชั้น เราก็ต้องเสียเวลาไปมากกกว่าเดือนหนึ่งแล้ว และต้องใช้แรงงานคนเท่านั้น เพราะการลงสีเป็นขั้นตอนที่ต้องการ ความประณีตที่เครื่องจักรไม่สามารถทำได้   ดังนั้นเมื่อเราลดขั้นตอนตรงนี้ลงได้ ต้นทุนการผลิตก็จะลดลงทำให้ ราคาลดลงตามไปด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ไปกระทบกระเทือนถึงมาตรฐานการผลิตเลย ทุกอย่างยังคงคุณภาพเช่นเดิม   นอกจากนี้ กีตาร์ในรุ่น Highway 1 นี้จะมาพร้อมกับถุงใส่สะพายสำหรับเดินทาง นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่คุณไม่ต้องไป เสียเงินเพิ่มสำหรับกล่องกีตาร์ แค่ค่ากล่องอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 3,000-4,000 บาทแล้ว

** ขอแนะนำสักนิดสำหรับนักกีตาร์มือใหม่ว่าคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้พบกับกีตาร์ตัวที่ใช่แล้วสำหรับเรา? ให้สังเกตพฤติกรรมของคุณเองดูว่าคุณรู้สึกเล่นแล้วไม่อยากวางมันลงหรือเปล่า? หรือไม่ก็คุณเล่นมันจนดึกดื่น อย่างมีความสุขและเมื่อตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่คุณอยากจะทำคือเดินไปจับกีตาร์ขึ้นมาเล่น  ถ้าคุณมีอาการแบบนี้ แสดงว่าคุณพบแล้ว! และหากคุณได้มีโอกาสทดลอง Highway 1 ก็หวังว่าคุณจะได้พบตัวที่ใช่! สำหรับคุณเข้าสักตัว


 

    ©Copyright 2005 Beh Ngiep Seng Musical Instruments Ltd.,Part. All reserved.